1. แบรนด์คลาสสิกตลอดกาล
Hermès ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1837 โดยเทียร์รี่ แอร์เมส ชาวฝรั่งเศส แม้จะผ่านไปเป็นร้อยปีแล้ว แต่ Hermès ก็ยังเป็นที่ต้องการของเหล่าคนมีเงิน เพราะความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ยังสามารถครองใจคนไว้ได้ อย่างความเป็นมาของกระเป๋าหนังรุ่น Kelly ก็มีความพิเศษ เพราะกระเป๋ารุ่นนี้ดังเป็นพลุแตกขึ้นมาในปี 1956 เกรซ เคลลี่ หรือเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโกได้ใช้กระเป๋า Hermès รุ่น Sac à dépêches ซึ่งเป็นชื่อเดิม ปิดพระครรภ์ของพระองค์เอาไว้ เมื่อภาพดังกล่าวถูกตีพิมพ์ออกไป ก็กลายเป็นกระแสฮือฮา ทำให้ได้รับความนิยมในหมู่แฟชั่นนิสต้า และไม่นานกระเป๋ารุ่นนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อรุ่น Kelly ตามพระนามของเจ้าหญิงเกรซ เอาจริงๆ เป็นชื่อที่เรียกง่ายขึ้นเยอะเลย แถมยังจำได้ง่ายกว่าชื่อเก่าด้วย และในปัจจุบันกระเป๋ารุ่นนี้ก็ยังมีออกมาเรื่อยๆ แม้ว่าจะเปลี่ยนโฉมของหนังหรือสีมามากมาย แต่ทรงของกระเป๋ายังคงเป็นแบบเดิมและคลาสสิก ถือเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่กระเป๋าของ Hermès นั้นไม่เคยตกยุค
2. คุณภาพชั้นเยี่ยมของสินค้า
ไม่มีกระเป๋าที่ทำจากงานฝีมือแล้วจะไร้ข้อบกพร่อง แต่กับ Hermès มีมาตรฐานและกระบวนการผลิตที่เข้มงวดที่สุด หนังของกระเป๋าปราศจากตำหนิ ตัวฮาร์ดแวร์จะไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนและความหมองคล้ำ เพราะผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นผ่านกรรมวิธีการผลิตอย่างพิถีพิถัน รวมถึงวัสดุชั้นดี กระเป๋าหนังทุกใบของ Hermès ได้รับการตัดเย็บด้วยมือ โดยหนังที่ใช้ต้องเป็นเกรดเอเท่านั้น ทั้งหนังวัว หนังนกกระจอกเทศ หนังตะกวด และหนังจระเข้ โดยจระเข้จะถูกเลี้ยงในบ่อหินอ่อน เพื่อให้ได้ผิวหนังเรียบเนียน ไม่ให้มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังถูกแยกเลี้ยงบ่อละตัว เพื่อป้องกันไม่ให้จระเข้กัดกันด้วย
ส่วนช่างตัดเย็บทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญในโรงงานที่ฝรั่งเศสเป็นเวลานาน 3 ปี ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ผลิตกระเป๋า ซึ่งแต่ละใบใช้เวลาราว 16 – 20 ชั่วโมง และจะต้องรับผิดชอบซ่อมแซมกระเป๋าตลอดอายุการใช้งาน ด้วยคุณภาพของหนังที่คัดเลือกมาอย่างดีที่สุด รวมไปถึงกรรมวิธีการเย็บหนังด้วยฝีเข็มคู่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แอร์เมสเลยได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ราชวงศ์และชนชั้นสูงของฝรั่งเศส
3. หาซื้อยาก
กระเป๋าแบรนด์ดังที่ไม่ได้มีแค่เงินแล้วจะซื้อได้ เพราะต้องมีความอดทนในการรอสูง เนื่องจากสินค้าของแอร์เมสทุกชิ้นใช้เวลาในการผลิตเป็นเวลานาน และยังมี Waiting List ซึ่งเป็นอีกกลยุทธ์เด็ดของแบรนด์ ที่ทำให้กลายเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น กระเป๋าหลายต่อหลายรุ่นต้องจองชื่อกันข้ามปีกว่าจะได้มากอดไว้สักใบ ทั้งนี้ช็อปของแอร์เมสทั่วโลก มีเพียง 300 กว่าสาขาเท่านั้น ทำให้ความต้องการของลูกค้ามากเกินกว่ากำลังในการผลิต จึงเป็นเหตุให้ลูกค้าต้องลงชื่อจองและรอคิว ยิ่งถ้าเป็นรุ่นพิเศษ หรือลิมิเต็ด เอดิชั่น ด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยาก ต้องฟาดฟันกันสุดความสามารถ เพื่อที่จะให้ได้กระเป๋าใบนั้นมาครอง
4. กำหนดกลุ่มลูกค้า
ต้องบอกว่าใครที่ได้กระเป๋าแบรนด์นี้ไปครอบครองจะรู้สึกพิเศษขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะใช่ว่าใครจะสามารถซื้อกระเป๋าสุดหรูนี้ได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นลูกค้าประจำ หรือมีบุคลิกเหมาะสมกับกระเป๋าหรือไม่ พูดง่ายๆ คือต้องเป็นคนที่ทางแบรนด์มองเห็นแล้วว่าเหมาะสมและคู่ควร เพราะตั้งแต่ตอนแรกก็ได้มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์พุ่งตรงไปที่ระดับ A+ ทั้งหมด แต่ถึงเงื่อนไขจะเยอะ แลดูจุกจิกหน่อยๆ แต่แฟชั่นนิสต้าก็พร้อมที่จะจองกระเป๋าแบรนด์หรูนี้กันข้ามปีเลยทีเดียว
5. สามารถขายต่อเพื่อเก็งกำไรได้
ทุกวันนี้กระเป๋าแบรนด์เนมเปรียบเสมือนทรัพย์สินมีค่าไม่ต่างจากเครื่องเพชร ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้าหากคุณเก็บกระเป๋าแบรนด์เนมใบโปรดไว้อย่างดี คุณอาจจะสามารถขายได้มากกว่าที่คุณเคยจ่ายไป ที่สำคัญแบรนด์หรูอย่าง Hermès ก็ยังคงอยู่ในความต้องการของผู้คนตลอดเวลา อย่างผลตอบแทนที่ได้จากการซื้อกระเป๋า Hermès Birkin ราคาขายคือสามารถทำกำไรได้ถึง 14.2% ต่อปีเลยทีเดียว โดยแบรนด์เนมที่ขายต่อแล้วจะได้ราคาสูงควรมีคุณสมบัติเหล่านี้ เช่น วัสดุที่นำมาผลิตเป็นหนังสัตว์จากธรรมชาติ , เป็นสินค้าที่มาจากช็อปของแบรนด์โดยตรง , กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น หรือรุ่นคลาสสิก และแบรนด์ของกระเป๋ามีความน่าเชื่อถือ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตรงกับแอร์เมสทุกอย่าง
หน้าที่เข้าชม | 1,337,573 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 551,407 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 ธ.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 17 ก.ค. 2568 |